A chocolate Flavor Fiction room of CHocoblizzard

[SF] น้องดาวHR [BaekHwi] #2/? — March 19, 2018

[SF] น้องดาวHR [BaekHwi] #2/?

[SF] น้องดาวHR [Thai AU]

Pairing: BaekHwi [Dongho X Fem!Daehwi]

#น้องดาวHR

 

น้องดาวHR  #2/??

“พี่เสือ!!”

หญิงสาวร่างเล็กในชุดนักศึกษาร้องเรียกพลางโบกมือทักทายพร้อมรอยยิ้มสดใสเหมือนทุกวัน เป็นเวลาสัปดาห์กว่าแล้วที่เขาได้เจอกับดาว นักศึกษาฝึกงานบริษัทเดียวกันกับเขา ที่ร้านกาแฟร้านประจำที่ต้องซื้อทุกเช้า ปกติแล้วเสือจะมาถึงที่ร้านตอนแปดโมงสิบนาที ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรืออะไร เด็กฝึกงานขวัญใจพนักงานทั้งบริษัทคนนี้จึงได้มาถึงที่ร้านในเวลาใกล้เคียงกับเขาเกือบทุกวัน ทำให้ต้องเข้าบริษัทพร้อมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างวันนี้ก็เช่นกัน

“พี่เสือกินข้าวหรือยังคะ”

“ยังครับ ปกติพี่ไม่ค่อยกินอะไรตอนเช้า…”

“ไม่ได้นะคะ! ไม่กินข้าวตอนเช้ามันไม่ดีนะ! …ขอโทษค่ะ”

ดาวรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองเผลอทำเสียงดังใส่คนอายุมากกว่า ก่อนจะรีบเอ่ยปากขอโทษออกไป

“ไม่เป็นไรครับ”

“คือ ดาวคิดว่าถ้าพี่กินข้าวตอนเช้ามันน่าจะดีต่อร่างกายมากกว่าน่ะค่ะ”

ไม่รู้เมื่อไรที่เขาเผลอสังเกตนิสัยของคนตรงหน้า ดาวมักจะเป็นห่วงเป็นใยคนรอบข้างอยู่เสมอ ไม่ใช่แค่เขา รวมไปถึงคนอื่นๆด้วย ซึ่งเขาก็คิดไปว่านี่คงจะเป็นสาเหตุที่คนทั้งออฟฟิศกำลังเห่อเด็กฝึกงานที่น่ารักคนนี้ ถึงขั้นกลายเป็นหัวข้อในบทสนทนาของพนักงานแทบจะทุกแผนก โดยเฉพาะทีมเอ็นจิเนียร์ของเขา ที่ดูจะหลงใหลได้ปลื้มน้องเป็นพิเศษ

 

 

“ไอ้เสือ มึงนี่ชักจะเยอะไปแล้วนะ!”

อาร์ตตรงเข้ามาหาทันทีที่เขาก้าวเท้าเดินตรงไปยังแผนก หลังจากที่ดาวเดินแยกออกไปแล้ว หลังจากที่โดนเพื่อนคาดคั้นให้เล่าเรื่องระหว่างเขากับน้องให้ฟัง เสือก็โดนเพื่อนสนิทแซะไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อเห็นว่าเขาเข้าบริษัทมาพร้อมกับเธอแทบทุกวัน

“อะไร ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“เนี่ย!! มึงมากับน้องดาวทุกวันยังกล้าบอกว่าไม่ได้ทำอะไรอีกเรอะ!!”

เพื่อนสนิทเริ่มโวยวายเมื่อเห็นท่าทางเฉยชาสุดๆของเขา เสือถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อพบว่าเพื่อนกำลังเริ่มต้นการแซะเขาเหมือนทุกวัน

“ก็บังเอิญเจอกันไหมละ แล้วกูก็ไม่ได้คิดอะไรกับน้องเขาซะหน่อย”

“มึงไม่คิดแต่กูว่าน้องคิด”

“ไม่อ่ะ น้องเขาดูเป็นไทป์ที่ไม่น่าจะคิดอะไรกับคนโคตรธรรมดาอย่างกูเลยนะ”

“อย่าหาว่าเสือกนะ แต่เท่าที่กูสังเกต น้องดาวใส่ใจมึงอยู่คนเดียว”

อาร์ตพูด แต่ประโยคที่ได้ยินนั้นทำให้เขาได้แต่คิดในใจว่า นี่ไม่เสือกตรงไหน

“กูว่าน้องก็เป็นห่วงทุกคนนั่นแหละ มึงคิดมาก”

“กูสัมผัสได้ว่ะ ดูสายตาตอนน้องมองมึงก็รู้แล้ว ไม่เชื่อก็ลองไปสังเกตดูดิ”

และบทสนทนาก็จบลงเพียงเท่านี้ พร้อมกับคนช่างสังเกตที่เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง

คำพูดของอาร์ตยังคงวนเวียนอยู่ในหัว หรือเขาควรจะลองทำตามที่เพื่อนบอกดู? คิดได้แค่นั้นก็ต้องรีบไล่ความคิดทิ้งไป เขาไม่ได้คิดอะไรกับดาวสักหน่อย จะต้องอยากรู้ไปทำไมกัน

 

 

 

ร่างสูงในชุดทำงานสแกนนิ้วเข้าออฟฟิศเหมือนทุกวัน จะต่างไปก็ตรงสภาพร่างกายที่ดูจะไม่ค่อยเต็มร้อยสักเท่าไร …ใช่ เขากำลังป่วย เป็นเพราะฝ่าฝนมาทำงานเช้าเมื่อวาน มาถึงออฟฟิศในสภาพเปียกโชกจนพี่ซีแทบจะมอบโล่พนักงานดีเด่นให้ตอนนั้นเลย

วันนี้เสือมาถึงค่อนข้างเช้า ตั้งใจจะไปหาโจ๊กหรือน้ำเต้าหู้ร้อนๆกินก่อนเริ่มทำงาน คิดว่ามันคงจะทำให้รู้สึกป่วยน้อยลงบ้าง แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้แผนกของตัวเองก็พบว่าไฟยังปิดอยู่ แสดงว่าเขาคงจะมาถึงเป็นคนแรก

…เสียงกุกกักบนโต๊ะพร้อมเงาร่างผอมบางที่กำลังก้มทำอะไรบางอย่างบนโต๊ะ ทำให้คนมาเช้าต้องค่อยๆเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสวิตช์ไฟแล้วเอ่ยถามออกไป

“ใครวะ พี่ซีเหรอ?”

“พี่เสือ!”

แสงไฟที่สว่างขึ้นเผยให้เห็นหญิงสาวในชุดนักศึกษาที่กำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะเขาพร้อมขวดวิตามินรสเลม่อนสองสามขวดทั้งที่ถืออยู่มือและที่วางอยู่บนโต๊ะ มือเล็กยังคงถือปากกาไฮไลท์สีชมพูเอาไว้ โพสอิทหลากสีที่ยังเขียนค้างอยู่วางเกลื่อนโต๊ะ ไม่ใช่ใครที่ไหน น้องดาวขวัญใจออฟฟิศคนเดิม

“ทำอะไรครับ”

“คือ… เอ่อ… แบบว่า…”

“แอบมาหยิบอะไรที่โต๊ะพี่หรือเปล่า?”

“ไม่ใช่นะคะ คือเห็นพี่ซีบอกว่าพี่เสือตากฝนเมื่อวาน เลยจะเอาวิตามินมาให้ค่ะ ดาวเป็นห่ว…เอ้ยย ไม่ใช่ ดาวกลัวพี่ป่วยอ่ะค่ะ”

ใบหน้าน่ารักที่คนในแผนก ตอนนี้เหมือนคนโดนจับได้ว่ากำลังทำความผิด เขาเดินเข้าไปใกล้ หยิบขวดวิตามินขวดหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาดู พลิกข้างขวดมีกระดาษโพสอิทแผ่นเล็กแปะอยู่ มีลายมือน่ารักเขียนเอาไว้ จึง

รู้นะว่าตากฝนมา >< ไม่อยากให้ป่วยเลย …กินวิตามินกันไว้นะคะ จะได้ไม่เป็นหวัด 🙂

มือที่ถือขวดวิตามินชะงักไป ข้อความที่เห็นทำให้คนอ่านรู้สึกใจกระตุกไปวูบหนึ่ง เป็นอาการที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับเสือมานานแล้ว จนไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นมาอีกครั้งด้วยซ้ำ

มึงไม่คิดแต่กูว่าน้องคิด คำพูดที่เคยได้ยินจากเพื่อน อยู่ๆก็ลอยวนกลับเข้ามาในหัวเสียอย่างนั้น

“พี่เสือ ดาว… ขอโทษนะคะ จะไม่แอบเอาของมาวางมั่วอีกแล้วค่ะ”

ร่างเล็กก้มหน้าหลบตา มือก็คว้าเอาขวดวิตามินจากมือเขากลับคืนไป จึงไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าตัวมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นเสือก็ยังระบายยิ้มออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่แฝงอยู่ในการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“ไม่เป็นไร ขอบใจนะที่เป็นห่วงพี่”

ดาวเงยหน้าขึ้นสบตาคนโตกว่าอีกครั้ง รู้สึกร้อนวาบไปทั่วทั้งใบหน้า เมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าทุกที พร้อมกับรอยยิ้มแบบที่เธอไม่เคยได้รับจากเขามาก่อน แน่นอนว่าต้องรีบหลบตาแทบไม่ทัน เพราะรู้ว่าตัวเองจะต้องกลั้นยิ้มหรือเผลอทำหน้าแปลกๆออกไปแน่ๆ

และสำหรับเสือ เขาคิดแค่ว่าดาวน่าจะยิ้มสดใสตอบกลับมาเหมือนทุกครั้ง แต่สิ่งที่ได้กลับกลายเป็นแก้มแดงๆทั้งสองข้างกับท่าทางลนลานเหมือนทำอะไรไม่ถูก แวบหนึ่งก่อนที่น้องจะหลบตาไปอีกครั้ง เขาว่าเขารู้สึกบางอย่างได้จากสายตาคู่นั้น ซึ่งมันทำให้สมองรีเพลย์ประโยคเดิมที่อาร์ตเคยพูดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

กูสัมผัสได้ว่ะ ดูสายตาตอนน้องมองมึงก็รู้แล้ว

 

 

 

“เสือ”

“อะไร”

“มึงเป็นไร ไม่กินหรือไงวะ”

อาร์ตขมวดคิ้วพลางมองจานแซลมอนสีส้มสดตรงหน้าเพื่อนที่ไม่ลดลงไปเลย ทั้งที่ปกติเวลามากินบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นแบบนี้ เพื่อนของเขาแทบจะล้างผลาญแซลมอนจนหมดร้าน จนเขาจะเปลี่ยนชื่อมันจากเสือเป็นหมีป่าไปให้รู้แล้วรู้รอด หมีสีน้ำตาลที่ยืนตะปบแซลมอนนั่นแหละ สิ่งที่อยู่ในมโนภาพของอาร์ต

แต่วันนี้มันเป็นอะไร ดูเหมือนว่าอาการเหม่อลอยเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาจนแทบไม่ได้แตะอาหารของเสือจะทำให้เพื่อนต้องแปลกใจ

“เปล่า กูคิดไรนิดหน่อยว่ะ”

“ทำไมวะ เสียบอลเหรอ”

“พ่องดิ นั้นมันมึงแล้วมั้ง”

อาร์ตหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินดำด่าจากปากเพื่อน จริงๆเขาพอจะเดาได้ว่าเสือกำลังคิดเรื่องอะไร ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นโพสอิทสีฟ้าที่มันเก็บไว้ในเก๊ะอย่างดีหรอกนะ

“บอกมาเหอะ ยังไงกูก็เพื่อนมึงป่ะวะ”

“เฮ้อออ มึงจำที่มึงเคยบอกว่าน้องคิดอะไรกับกูได้มั้ย”

“น้องดาว? จำได้ ทำไมอ่ะ”

“กูลองสังเกตดูแล้วว่ะ กูว่าน่าจะจริงว่ะ”

อาร์ตลอบยิ้มออกมาเมื่อรู้ว่าสิ่งที่เคยพูดไว้กลับกลายเป็นแบบนั้นจริงๆ อาจจะฟังดูไม่ดีนัก เหมือนจะอยากใส่ใจคนอื่นมากจนเกินไปสักนิด แต่เขาค่อนข้างมั่นใจในเซนส์การสังเกตอากัปกิริยาคนรอบข้างของเขา

“ก็จริง แล้วยังไง มึงมีอะไรให้เครียด ไม่ได้คิดอะไรไม่ใช่เหรอ”

“เออก็ไม่ได้คิด แต่…”

เสือมีท่าทีลังเลเมื่อคิดว่าควรจะพูดออกไปดีหรือไม่ แต่เมื่อคิดไว้ว่าอาร์ตเป็นเพื่อนสนิทเขา เดี๋ยวสักวันก็ต้องรู้อยู่ดี จึงตัดสินใจบอกสิ่งที่ตัวเองกำลังคิด

“คือกูว่ากูก็เริ่มคิดนิดนึงว่ะ…”

“นั่นไงกูว่าแล้ว ไหนบอกไม่คิดไง มึงมันร้าย!! ว่าแล้วชื่อมึงนี่คือไม่ได้มาเล่นๆ”

“ฟังกูก่อนสิวะ!”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วเพื่อน แผนกเรามีแต่คนอยากเป็นมึงกันทั้งนั้น”

พยายามจะอธิบาย แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่ได้ฟังอะไรเลย ในตอนนี้เขากำลังรู้สึกดีกับดาวจริง เพียงแค่อยากขอเวลาให้แน่ใจอีกสักนิดเพราะตอนนี้มันยังเร็วเกินไป

เสือถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ๆ ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่บอกเพื่อน ได้แต่ภาวนาขอให้เรื่องนี้ไม่แพร่กระจายไปทั่วออฟฟิศจนลามไปถึงคนที่เขากำลังรู้สึกดีๆด้วยอยู่ก็พอ

 

__________________________________________________________________________________

 

ช่วงนี้งานยุ่งมากๆ ทำเราคิดอะไรไม่ค่อยออกเลยค่ะ ;w;

จะพยายามมาต่อให้บ่อยกว่านี้นะคะ

PS. :: เรียนเชิญได้ที่แฮชแท็ก #น้องดาวHR ได้นะคะ คุยกับเราได้ เราเหงา 555

[SF] น้องดาวHR [BaekHwi] #1/? — January 24, 2018

[SF] น้องดาวHR [BaekHwi] #1/?

[SF] น้องดาวHR [Thai AU]

Pairing: BaekHwi [Dongho X Fem!Daehwi]

#น้องดาวHR

 

น้องดาวHR  #1/?

เช้าวันจันทร์ที่แสนน่าเบื่อวนมาถึงอีกครั้ง ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแลคตามสไตล์ของมนุษย์เงินเดือนทั่วไป แตะบัตรออกจากจากสถานีรถไฟฟ้าที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เร่งรีบเพื่อให้ไปทำงานได้ทันเวลา ก่อนจะตรงไปยังร้านขายกาแฟร้านประจำที่ซื้ออยู่ทุกวัน

เมื่อพบว่าหน้าเค้าท์เตอร์มีคนยืนอยู่ก่อนแล้ว จึงเดินไปยืนต่อแถวด้านหลัง พร้อมหยิบมือถือขึ้นมากดเล่นรอเวลา

“อเมริกาโน่เย็นค่ะ”

“…ขอโทษนะคะ น้องมีแบงก์ร้อยมั้ย? แบงก์พันพี่ไม่มีทอนเลย”

“เอ่อ…”

บทสนทนาของลูกค้าคนก่อนหน้าลอยผ่านมาเข้าหูให้ได้ยิน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นแผ่นหลังเล็กในชุดนักศึกษาหญิงอยู่ตรงหน้า มือเล็กค้นกระเป๋าสะพายข้างสีดำอยู่พักใหญ่

“แป๊บนึงนะคะ…”

เมื่อเห็นท่าทีที่ดูกระวนกระวายของหญิงสาว ลูกค้าคิวต่อไปที่กลัวว่าจะสแกนนิ้วไม่ทันแปดโมงครึ่งอย่างเขาจึงตัดสินใจพูดขึ้นมา

“อเมริกาโน่เย็นอีกแก้วครับ จ่ายรวมกับของน้องคนนี้…”

“ค่ะ ใช้บัตรแรบบิทนะคะ?”

“ครับ”

มือใหญ่หยิบบัตรสีส้มแตะบนเครื่องหน้าเค้าท์เตอร์โดยไม่รอให้หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยคำพูดใดออกมา รับใบเสร็จจากพนักงานพร้อมเดินไปตรงจุดรับกาแฟที่อยู่ด้านข้าง

“พี่คะ”

เสียงใสๆดังขึ้น เมื่อมองตามเสียงนั้นก็พบว่าเป็นคนที่เขาเพิ่งจะจ่ายค่ากาแฟให้เมื่อครู่ หญิงสาวตัวเล็กที่ดูแล้วไม่น่าจะสูงเกิน 160 เซ็นต์ ในชุดนักศึกษาและกระโปรงทรงเอ ผมยาวที่ถูกย้อมให้เป็นสีน้ำตาลทองมัดรวบไว้ข้างหลังอย่างเรียบร้อย เดินตามมายืนข้างๆเขา ด้วยความสูงที่แตกต่างกัน ทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาเวลาพูด

“ขอบคุณนะคะ”

ดวงตาสดใสมองช้อนขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มหวานๆที่ส่งให้ ทำเอาคนตัวสูงกว่าหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เผลอจ้องมองใบหน้าน่ารักนั้น จนเสียงของพนักงานร้านกาแฟดังขึ้นมา ถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเองมองอีกฝ่ายมากเกินไปแล้ว

“อเมริกาโน่เย็นสองแก้วได้แล้วค่ะ”

มือเล็กหยิบแก้วกาแฟทั้งสองแก้วและยื่นให้คนตรงหน้าหนึ่งแก้ว

“คือออ… พี่จะให้หนูคืนเงินยังไงดีคะ?”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องคืนก็ได้”

“จะดีเหรอคะ”

“ไม่เป็นไรจริงๆครับ”

รอยยิ้มของหญิงสาวปรากฎขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เขายังยืนกรานว่าไม่ต้องคืนเงินค่ากาแฟ เผลอมองหน้าคนตัวเล็กอีกครั้งจนสังเกตเห็นชั้นตาที่ไม่เท่ากันของคนตรงหน้า น่าแปลกที่มันกลับดึงดูดให้เขาอยากจะมองไปอีกนานๆ

“พี่ใจดีจัง พี่ชื่ออะไรคะ”

“ห๊ะ?? อะ อ๋อๆ เสือครับ”

“พี่เสือ? หนูชื่อดาวนะคะ ฝึกงานอยู่บอ.แถวๆนี้แหละ ถ้าครั้งหน้าเจอกันอีก หนูขอเลี้ยงกาแฟพี่คืนแล้วกันนะคะ”

“ครับ”

ความน่ารักแบบโอเวอร์โหลดของน้องทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก ได้แต่รับปากและเดินจากมาอย่างงงๆ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นพวกทำตัวไม่ถูกกับเพศตรงข้าม แต่หลังจากที่เลิกกับแฟนคนล่าสุดสมัยเรียน ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีผู้หญิงคนไหนทำให้เขาอยากจ้องมองนานๆอีกเลย จนกระทั่งมาเจอกับเด็กคนเมื่อกี้ ซึ่งเขาก็ยังคงแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่ไปรู้สึกแบบนั้นกับคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก

                …ช่างเถอะ แถวนี้คนเยอะจนแทบจะแย่งกันเดิน ออฟฟิศก็มีเป็นร้อยๆ ยังไงเสียก็คงไม่ได้’บังเอิญ’เจอกันอีกครั้งอยู่แล้ว ลืมๆไปซะคงจะดีกว่า

 

 

“มึง วันนี้มีน้องฝึกงานมาใหม่ว่ะ”

“แล้ว?”

“ได้ยินเขาบอกมาว่าน่ารักด้วยนะเว้ย”

หลังจากที่สแกนนิ้วเข้าบริษัท และเดินเข้ามาที่โต๊ะทำงานของตัวเองแล้ว ยังไม่ทันจะได้นั่งลง เพื่อนร่วมแผนกที่นั่งอยู่ข้างหลังก็รีบหมุนเก้าอี้มาหา พร้อมพูดขึ้นด้วยท่าทางตื่นเต้น

“บอกทำไมวะ”

“เฮ้อออ มึงนี่ทำไมไม่เสือเหมือนชื่อเลยวะ ก็น้องอ่ะ น้องผู้หญิงน่ารักๆ นักศึกษากรุบกริบๆ มึงไม่รู้สึกสนใจบ้างหรือไง”

“อย่าเพ้อเจ้อให้มันมาก เดี๋ยวกูจะฟ้องเมียมึง เอ้า นี่ เคสลูกค้าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วรอให้มึงแก้อีกเยอะ”

คนที่ถูกเพื่อนหาว่าไม่เป็นเสือสมชื่อ ยื่นแฟ้มบรรจุเอกสารที่ถูกวางเรียงซ้อนๆกันเกือบสิบแฟ้มส่งให้เพื่อนที่กำลังทำหน้าตาไม่สบอารมณ์ แต่ก็จำใจรับแฟ้มทั้งหมดมาวางไว้บนโต๊ะแต่โดยดี

“อาร์ต”

“ไร”

“เด็กฝึกงานที่มึงบอก อยู่แผนกอะไร”

“แน่ะ ทำเป็นไม่สนแต่ก็อยากเผือกนะเรา …น้องอยู่HR เดี๋ยวเจ๊ซีคงพามาแนะนำ”

คำว่าเด็กฝึกงาน ทำให้เขานึกถึงหญิงสาวที่เจอกันเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ประโยคสุดท้ายที่พูด เธอบอกว่าฝึกงานอยู่บริษัทแถวๆนี้ …คงไม่บังเอิญเจอกันที่นี่หรอกนะ

เสือไม่ได้ถามอะไรต่อ ด้วยกลัวเพื่อนของเขาจะจับพิรุธได้ ขืนให้คนอย่างอาร์ตได้รู้เรื่องเมื่อเช้า มันคงจะล้อเขาไปยันลูกบวชแน่นอน ดีไม่ดีคนทั้งออฟฟิศอาจจะได้รู้เรื่องด้วย เพราะฉายา อาร์ตรู้ โลกรู้ ของเพื่อนเขา มันไม่ใช่ว่าได้มาเล่นๆ

 

“เอ้าหนุ่มๆ เงยหน้าขึ้นก่อน พาน้องฝึกงานมาแนะนำจ้า”

เสียงดังๆที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้คนในแผนกเอ็นจิเนียร์ที่เต็มไปด้วยชายฉกรรจ์หลายชีวิตเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน ตั้งใจฟังหญิงสาวตัวเล็กที่ทุกคนรู้จักกันในนาม พี่ซี พี่ใหญ่ประจำแผนกHRหรือฝ่ายบุคคล

“นี่แผนกเอ็นจิเนียร์นะจ๊ะ พวกพี่เขาจะเป็นคนดูแลเรื่องโปรแกรมให้บริษัทลูกค้า ทั้งพัฒนาเรื่องตัวระบบของโปรแกรม แล้วก็แก้ปัญหาให้ลูกค้าด้วย ส่วนใหญ่ก็จะทำงานในออฟฟิศ ก็จะมีบ้างบางเคสที่ต้องออกไปข้างนอก ถ้าลูกค้าอยากให้เข้าไปช่วยดูให้อ่ะนะ….”

พี่ซีอธิบายให้เด็กฝึกงานฟัง ในขณะที่เสือยังคงมีสมาธิอยู่กับงานตรงหน้า โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าคนรอบข้างเลิกสนใจงานกันหมดแล้ว

“อ่ะโอเค พี่แนะนำเลยนะ นี่น้องดาว มาฝึกงานแผนกHRพี่เนี่ยแหละ พามารู้จักกันไว้ก่อน จะได้ไม่ตกใจว่าสาวที่ไหนมาบุกออฟฟิศ”

“ดาวนะคะ อยู่ปีสี่ คณะรัฐศาสตร์ ม.Xค่ะ ฝากตัวด้วยนะคะ”

“ฝากไลน์ไว้ด้วยก็ได้นะครับ”

“พี่ชื่ออาร์ตนะครับ ขอแนะนำให้ฝากไลน์แล้วก็ฝากเบอร์ไว้ด้วยนะครับ”

เหล่าชายฉกรรจ์แห่งแผนกเอ็นจิเนียร์เริ่มทำงานกันเป็นทีมด้วยการเล่นมุกประหลาดๆเพื่อดึงความสนใจจากหญิงสาวในชุดนักศึกษาที่ทำได้แต่ยิ้มเจื่อนๆให้ทุกคน เสียงดังๆของเพื่อนร่วมแผนกทำให้เสือต้องเงยหน้าขึ้นจากงาน และหันไปมองตามจุดสนใจของเพื่อนๆบ้าง

…และสบตากับคนน่ารักที่ไม่คิดว่าจะได้เจออีกครั้ง

“พี่เสือ!!”

ดาวเรียกชื่อคนใจดีที่เพิ่งรู้จักกันเสียงดัง พลางโบกมือและส่งยิ้มจนตาแทบปิดไปให้ รู้สึกโล่งใจขึ้นมาที่เจอคนรู้จัก(ที่ไม่รู้อะไรของกันและกันเลยนอกจากชื่อของอีกฝ่าย)

“อ้าว รู้จักกันหรอกเหรอ”

“ใช่ค่ะพี่ซี …พี่เสือออ ดีใจจังเลยค่ะนึกว่าจะไม่เจอกันอีกแล้ว”

“คะ ครับ บังเอิญมาก ฮ่าๆ”

น้ำเสียงน่ารักๆของน้องทำให้เขาทำได้เพียงตอบกลับไปแบบโง่ๆ ซึ่งแน่นอนว่าการกระทำทุกอย่างนั้นกำลังทำให้ทุกสายตาของแผนกเอ็นจิเนียร์เพ่งเล็งมาที่เขา โดยเฉพาะเพื่อนสนิทอย่างอาร์ตที่มองหน้าเขาอย่างคาดโทษพร้อมทำปากขมุบขมิบพูดอะไรบางอย่าง ที่พอจะจับใจความได้ว่า ‘มึงกับกูมีเรื่องต้องคุยกัน’

“ป่ะน้องดาว เดี๋ยวไปแนะนำตัวแผนกอื่นต่อ”

“ค่าาา พี่เสือ ไว้เจอกันนะคะ!”

รับคำพี่ซี แต่ก็ยังไม่วายหันมาพูดกับเสืออีกรอบก่อนที่จะเดินตามหลังรุ่นพี่ออกไป เมื่อแผ่นหลังเล็กๆนั้นเดินพ้นสายตาไป เพื่อนสนิทก็พุ่งเข้าชาร์จแทบจะทันที

“ไอ้เสือ ยังไงวะ มึงรู้จักน้องเขาได้ไง เล่ามาเดี๋ยวนี้ เรื่องนี้กูต้องรู้!!”

อาร์ตยิงคำถามใส่รัวๆ โดยมีเพื่อนร่วมแผนกคนอื่นๆที่พร้อมใจกันหันมาทางเขา ด้วยสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความอยากใส่ใจ

นี่คงถึงคราวที่ทั้งโลกจะต้องรับรู้เรื่องของเขาจริงๆแล้วสินะ…

 

______________________________________________________________________________________________

 

ฟิคชั่ววูบมาอีกแล้วจ้าา

คราวนี้เกิดจากการอยากอ่านฟิคที่น้องเป็นผู้หญิง แต่ว่า…หาอ่านยากจัง เพราะงั้น ผลิตเองเป็นคำตอบสุดท้ายค่ะ 555555

ยังไม่แน่ใจว่าจะให้จบในกี่ตอนดีเลยใส่ ? ไว้ก่อน แต่ที่ตั้งใจไว้คือไม่เกิน 5 ตอน จะพยายามจบให้ลงใน 5 ตอนเพื่อไม่ใหเรื่องเวิ่นเว้อเกินไปนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า 🙂

PS.1 :: อยากบอกอะไร เรียนเชิญได้ที่แฮชแท็ก #น้องดาวHR นะคะ

PS.2 :: ขอให้แต้มบุนนี้ส่งผลให้งาน SMA มีโมเม้นท์แบคฮวีด้วยเถอะค่ะ ส๊าาาธุ ;w;

[OS]Secret Admiring [BaekHwi] — November 6, 2017

[OS]Secret Admiring [BaekHwi]

[OS]Secret Admiring [BaekHwi]

(**เป็นฟิคที่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบมากค่ะคือแต่งเป็น AU Thaiแต่ยังใช้ชื่อเกาหลีเหมือนเดิมถ้าอ่านแล้วรู้สึกขัดๆต้องขออภัยด้วยนะคะ^^)

 

“มึง ไปกินข้าวเพชรช็อปกัน”

เด็กหนุ่มร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีอ่อนในชุดนักศึกษาแขนสั้นที่ถูกสวมทับด้วยเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีน้ำเงินเข้ม หันไปเอ่ยกับเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ด้านหลัง ท่ามหลังบรรยากาศวุ่นวายหลังจบคาบเรียน เพื่อนตัวสูงที่กำลังตั้งใจเก็บปากกาสารพัดสีลงกล่องดินสอชะงักมือไปชั่วครู่พร้อมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

“เพชรช็อปอีกละ พ่อเป็นหุ้นส่วนร้านข้าวในเพชรช็อปหรือไง จะไปอะไรมันทุกวันวะ”

“เอ้า ก็กูอยากกินเครปเย็นอ่ะ!”

“กูขี้เกียจเดิน ถ่อไปถึงนู่นทุกวันแล้วยังต้องรีบวิ่งกลับมาเรียนบ่ายให้ทันอีก เหนื่อยจะตาย”

ซอนโฮลุกขึ้นยืนพร้อมสะพายกระเป๋าเป้ และพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆเมื่อเห็นเพื่อนสนิทอย่างแดฮวีเริ่มงอแง ความจริงแล้วเขาเองก็ไม่ใช่คนชอบขัดใจเพื่อนสักเท่าไร แต่การที่โดนบังคับให้ไปกินข้าวที่โรงอาหารที่อยู่ห่างไกลกันเป็นโยชน์อยู่ทุกวันมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน ยิ่งวันไหนที่มีคาบเรียนช่วงบ่ายเขาต้องรีบวิงกลับมาที่ตึกอักษรฯให้ทันคาบเรียนอยู่ทุกครั้งไป

“มึงอ่ะ ไปเหอะนะ น้าๆๆๆ”

คนตัวเล็กกว่าลุกขึ้นเขย่าแขนเพื่อนพร้อมน้ำเสียงที่อ่อนลง

“ไปทุกวันแล้วนี่ไง วันนี้ขอกูกินยูเนี่ยนสักวันเถอะ…”

“เฮ้ย เซคหนึ่ง กินข้าวกัน!”

เสียงร่าเริงดังมาจากประตูห้องเรียนพร้อมๆกับเจ้าของเสียงที่เดินเข้ามาในห้อง เมื่อหันไปเห็นว่าเป็นใครก็ทำให้ซอนโฮถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และตรงเข้าไปขอความช่วยเหลือทันที

“เฮ้ออออ มึงมาได้จังหวะพอดี หลิน แซม มึงไปกินข้าวเพชรช็อปกับไอ้ฮวีมันที กูมีเรียนบ่ายขี้เกียจเดิน”

“อีกแล้วเหรอวะ”

ซามูเอลเอ่ยขึ้นพลางขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งที่เพื่อนพูด เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจระบบความคิดของเพื่อน ทั้งๆเรียนอยู่คณะอักษรฯที่ตั้งอยู่เกือบติดประตูทางเข้ามหาวิทยาลัย แทนที่จะกินข้าวที่โรงอาหารใกล้ๆ อย่างยูเนี่ยนที่อยู่ไม่ไกลจากคณะ กลับหอบร่างเดินไปกินข้าวที่โรงอาหารที่ตั้งอยู่ใกล้คณะวิศวะฯ เดินต่อไปอีกนิดก็ทะลุออกประตูหลังมอ.ซะได้

“เออ กูอยากกินเครปเย็น”

“เดี๋ยวๆ คนเยอะชิบหายกว่าจะหาโต๊ะ ต่อคิวซื้อข้าวก็หมดเวลาแล้วมั้ง มึงจะเอาเวลาที่ไหนไปกินเครปเย็น เรียนบ่ายด้วยไม่ใช่เหรอวะ”

“กูมีวิธีละกัน พวกมึงแค่ไปกับกูก็พอน่า”

ซามูเอลหันไปพูดกับแดฮวี ที่ดูเหมือนจะยังไม่ถอดใจในการหาคนไปกินข้าวด้วย เขาเองก็ไม่เข้าใจเพื่อนไม่ต่างจากไปควานลินและซอนโฮเลย

“เนี่ยพวกมึง เห็นความดื้อของมันยัง กูล่ะเหนื่อย นี่เทอมนี้มันลากกูไปกินเกือบทุกวัน เอะอะก็เครปเย็น คนปกติที่ไหนมันจะเสพติดเครปเย็นขนาดนี้ ไปส่องเด็กวิศวะก็บอก ทำมาเป็นอ้างของแดก…”

ซอนโฮระบายความในใจออกมายาวยืด แต่ประโยคท้ายที่พูดออกมากลับทำให้เพื่อนตัวเล็กกว่ามีสีหน้าที่แปลกไป

“ส่องห่าอะไร บอกว่าเครปเย็นก็เครปเย็นดิ เด็กวิศวะอะไรของมึงวะ อย่ามั่ว”

แดฮวีปฏิเสธเสียงแข็ง แต่สีหน้าท่าทางดูร้อนรนชอบกล เหมือนกำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่ แน่นอนว่าอาการเหล่าไม่มีทางหลุดพ้นไปจากสายตาของเพื่อนทั้งสามคนได้

“มึงกำลังปิดอะไรพวกกูอยู่?”

“ไม่มี๊”

“เสียงสูงแตะเพดานแล้ว มึงร้อนตัวกับคีย์เวิร์ดเด็กวิศวะของกู!”

สายตากดดันทั้งสามคู่จ้องมองมาราวกับกำลังคาดคั้นเอาความจริง ทำเอาคนอยากกินเครปเย็นเริ่มทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะหาอะไรมาปฏิเสธสิ่งที่เพื่อนพูดดี

ตริ๊ง!

เสียงข้อความจากโปรแกรมไลน์ดังขึ้น คนมือไวที่สุดอย่างควานลินรีบคว้าโทรศัพท์ในมือแดฮวีมาดูอย่างรวดเร็ว โดยที่เจ้าของยังไม่ทันจะตั้งตัว แม้จะปลดล็อคโทรศัพท์ไม่ได้ แต่ก็ยังได้เห็นข้อความที่แจ้งเตือนขึ้นมาพร้อมกับรูปโปรไฟล์เป็นผู้ชายใส่เสื้อสีดำที่ไม่คุ้นหน้า

realDH: เที่ยงแล้วอย่าลืมหาอะไรกินนะเด็กอักษร

realDH: วันนี้จะมาเพชรป่ะจะได้ดักรอ 555

ควานลินอ่านออกเสียงให้ผู้ติดตามเหตุการณ์อีกสองคนได้รับรู้ด้วย ซอนโฮยิ้มออกมาเหมือนกำลังมีแผนอะไรในใจ ส่วนซามูเอลทำสีหน้าประหลาดใจสุดๆ ทำเอาเจ้าของเครื่องต้องรีบแย่งโทรศัพท์คืนมาจากเพื่อนตัวสูง นึกขอบคุณคนคิดค้นไอโฟนให้มีระบบสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อคเครื่อง

“กูเปลี่ยนใจละ หลิน แซม ไปกินข้าวเพชรช็อปกัน …ป่ะ ไอ้ฮวี อย่าช้า เดี๋ยวมึงจะไม่ทันกินเครปเย็น”

 

 

อีแดฮวี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะอักษรศาสตร์ กำลังนั่งเขี่ยข้าวในจานตรงหน้าเมื่อสัมผัสได้ถึงออร่าความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนสนิทอีกสามคนที่กำลังมองไปรอบๆท่ามกลางโต๊ะอาหารรอบข้างที่เต็มไปด้วยนักศึกษาคณะวิศวะฯ ทำเอารู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมาทันที

“พวกมึง ไม่กินข้าวกันหรอ”

ฝืนยิ้มพลางเอ่ยปากถามเพื่อน พยายามไม่แสดงอาการผิดปกติให้เพื่อนรู้ …เพราะคนที่ตัวเองรวมถึงเพื่อนๆกำลังมองหาอยู่นั้น นั่งห่างออกไปแค่ไม่กี่โต๊ะ

“มึงควรถามตัวเองมากกว่านะฮวี เขี่ยมาสิบนาทีแล้ว”

ควานลินเอ่ยขึ้น เขามองอาหารในจานของเพื่อนที่ลดลงไปแค่ครึ่งเดียว กลับกันกับคนที่กำลังใส่ใจเรื่องเพื่อนอย่างเขาที่กินหมดจานเรียบร้อยแล้ว ดูท่าคงกำลังคิดหนักถึงขนาดกินข้าวไม่ลงกันเลยทีเดียว

“หลินๆ มึงดูดิ๊ คนนั้นป่ะวะ”

ซอนโฮสะกิดเรียก ก่อนจะชี้ไปที่โต๊ะใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปสามสี่โต๊ะได้ แดฮวีแอบเหลือบมองตามที่เพื่อนชี้ รู้สึกคล้ายจะเป็นลมเมื่อพบว่าตรงกับคนที่เขามองอยู่ แผ่นหลังกว้างในเสื้อช็อปสีน้ำเงินกรมท่า ผมสีดำตัดสั้นที่เหมือนไม่ได้เซ็ต กำลังหันไปพูดอะไรกับเพื่อนข้างๆพร้อมรอยยิ้มกว้างๆจนตาปิด นั่นแหละ ใช่เลย คนที่ทำให้เขาเป็นบ้าเป็นบอยอมเหนื่อยเดินไปกลับคณะมานั่งส่องได้เป็นเดือนๆ

“ชัดเลย คนนี้แหละ”

“รุ่นพี่เหรอวะ แต่แม่งหน้าตาดีทั้งโต๊ะเลยว่ะ”

ซามูเอลถาม ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าทั้งสามคนหันไปมองโต๊ะนั้นกันหมด ดูมีพิรุธเป็นอย่างมากจนถ้ามีใครสักคนในโต๊ะนั้นหันมาต้องรู้แน่ๆว่าพวกเขากำลังมองอยู่

“มึงจะมองอะไรนักหนาวะ เดี๋ยวพี่เขาก็รู้หรอก!”

เสียงของแดฮวีดึงความสนใจของเพื่อนๆผู้ใฝ่รู้ให้กลับมาที่เขา

“อ้าว ทำไมวะ ก็รู้จักกันอยู่แล้วนี่”

“ใช่ รู้จัก แต่ไม่เคยเจอกัน”

“ห๊ะ?”

“โอ๊ยแม่ง กูรำคาญ เล่าให้ฟังก็ได้วะ!”

เอ่ยออกมาอย่างเหลืออด ไหนๆเรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้ว คงเปล่าประโยชน์ที่จะปิดบังอะไรเพื่อนอีก

“คืองี้ พวกมึงจำตอนปี 1 ได้ป่ะ ที่กูเริ่มเล่น ROVแล้วพวกมึงไม่ยอมเล่นด้วยอ่ะทีนี้กูไปเจอกรุ๊ปไลน์ROVของม.เราก็เลยเข้ากรุ๊ปด้วย แล้วกูก็เจอพี่ดงโฮ วิศวะเครื่องกล ตอนนี้ปี3แล้ว คือกูเล่นกากพี่เขาก็เลยช่วยสอนให้พอบ่อยๆเข้ากูกลัวคนในกรุ๊ปรำคาญเลยแอดไลน์แยกพี่เขาไป จริงๆก็คุยกันแต่เรื่องเกม แล้วพอช่วงสอบไฟนอลกูยุ่งเลยห่างROVไป แต่พี่เขาก็ยังทักมาคุยเรื่อยๆ …นั่นแหละ ก็คุยกันมาเรื่อยๆ เกือบปีอ่ะ”

เจ้าของเรื่องหยุดพักนิดหนึ่ง ดูดน้ำในแก้วที่เริ่มละลาย ก่อนจะเริ่มพูดต่อ

“ตอนแรกกูก็คิดอยากนัดเจอพี่เขานะ เพราะจากที่คุยเขาก็เป็นพี่ที่ดี จนพอช่วงจะขึ้นปี2 พวกมึงจะว่ากูบ้าก็ได้ แต่กูคิดว่า กูชอบพี่เขาอ่ะ กูไม่กล้าเล่าเพราะมันดูเวิ่นเว้อว่ะ แบบชอบคนจากตัวหนังสือที่เขาพิมพ์ ทั้งที่ไม่เคยเจอตัวจริงๆกันเลย”

“แล้วมึงไม่คิดอยากจะเจอหน้ากันจริงๆบ้างเหรอวะ เท่าที่อ่านจากไลน์เหมือนพี่เขาก็อยากเจอมึงอยู่”

ซอนโฮถามขึ้นมาบ้าง เขาเป็นเพื่อนสนิทกับแดฮวีมาตั้งแต่มัธยม นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเพื่อนมีมุมแบบนี้กับเขาด้วย คงจะลำบากใจจริงๆ ไม่อย่างนั้นเรื่องคงถึงหูเขาไปนานแล้ว แอบรู้สึกผิดขึ้นมานิดหนึ่งที่ไปเค้นความจริงจากเพื่อนทั้งที่เจ้าตัวไม่เต็มใจจะบอก

“กูทำไม่ได้ว่ะ กูเคยเข้าลิฟท์พร้อมเขาครั้งนึงที่ตึก50 แม่งเหมือนจะเป็นลม มือเย็นไปหมด มันไม่รู้จะพูดยังไง จะทำหน้ายังไงดีทั้งๆที่ตอนนั้นคนมันเบียดกันพี่เขายังไม่เห็นหน้ากูด้วยซ้ำ”

“มึงก็เลยมาส่องเขาทุกวันแทน?”

“กูไม่กล้า แต่กูก็อยากเห็นหน้าพี่เขา ไม่รู้จะทำไงเลยเนียนมาส่องทุกวันจนจะจบปี2เทอม 1 อยู่แล้วเนี่ย”

แดฮวีตอบด้วยสีหน้าหนักใจ แรกๆก็คิดว่าได้เห็นหน้าไกลๆก็พอ แต่ตอนนี้ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเขาจะหลบหน้าไปได้นานแค่ไหน มีหลายครั้งเหมือนกันที่เขาเจอพี่ดงโฮแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ทุกครั้งก็รีบหนีไปเสียก่อน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมองเห็นเขาหรือเปล่า แต่ในเมื่อตอนคุยกันในไลน์ไม่ได้พูดถึงก็เลยคิดไปว่าคงจะไม่ทันได้เห็น

realDH: พี่กินข้าวเสร็จแล้ว สรุปวันนี้ก็ไม่ยอมมาเพชรอีกละดิ?

LeeHwi: ไม่อ่ะพี่ไกล 555

realDH: นี่วันหลังต้องไปดักรอใต้ตึกป่ะถึงจะได้เจอ

LeeHwi: เห้ยอย่าเลย

คือช่วงนี้ผมเรียนหนักอ่ะจะเข้าเอกแล้ว

ไม่ว่างจริงๆ

realDH: ไม่ว่างจริงๆหรือว่ามีคนอื่น5555555

LeeHwi: เพลงไรของพี่วะ555 เกิดไม่ทัน

realDH: อย่ามาแอ๊บร้องได้ก็บอก

 

ตอบแชทไปยิ้มไป โดยไม่สังเกตเลยว่าเพื่อนทั้งสามคนกำลังจ้องจอโทรศัพท์ดูแชทแบบเรียลไทม์จนตาแทบไม่กระพริบซอนโฮแอบมองบนเมื่อมองเห็นเพื่อนที่กำลังโกหกได้หน้าตาเฉย

“ไอ้ฮวี มึงนี่แหลได้โล่มาก พี่เขายังนั้นอยู่ตรงนั้นมึงยังกล้าบอกว่าไม่ได้มาที่นี่อีก”

“พี่เขาไม่เห็นกูหรอกกกก”

“เดี๋ยวกูเรียกให้”

“มึงไม่ต้องเลย!”

ซามูเอลหัวเราะพลางทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นยืน ทำเอาเพื่อนตัวเล็กรีบคว้าคอเสื้อให้กลับลงมานั่งแทบไม่ทัน ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์ของซอนโฮก็ดังขึ้นเสียก่อนกดรับพร้อมพูดโต้ตอบกับปลายสายไม่กี่คำก็วางสายและหันมาพูดกับเพื่อนร่วมชะตากรรมคลาสเรียนช่วงบ่าย

“ฮวี เพื่อนโทรมาบอกว่าจารย์ยกคลาสว่ะ มึงมีเวลากินเครปเย็นละ เชิญ”

“เอ้าจริงดิ เออๆเดี๋ยวกูไปซื้อแปบ”

แดฮวีรีบลุกขึ้นหยิบเงินในกระเป๋าเดินไปทืร้านเครปเย็นลืมไปชั่วขณะว่ามาที่นี่เพื่อมาส่องรุ่นพี่ที่แอบชอบนึกถึงแต่ของหวานที่ตั้งใจจะกิน เมื่อเห็นเพื่อนสนิทไปถึงหน้าร้านแล้ว ทั้งสามคนก็เริ่มเปิดประเด็นทันที

“หลิน มึงคิดไงกับเรื่องนี้”

“ถ้าเอาตามความคิดกู มันหนีพี่เขาไปตลอดไม่ได้หรอก สักวันต้องเจอกันแบบจังๆหนีไม่รอด”

“กูเห็นด้วยกับหลิน เรียนที่เดียวกันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เจอกัน ต่อให้มันอ้างเหตุผลกากๆไม่ยอมไปเจอเขา เรียนหนักไรงี้ มันก็ใช่ว่าจะอ้างได้ตลอดป่ะวะ”

“กูก็คิดงั้นนะ มึงคิดว่าเราควรช่วยมันป่ะ”

ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าควรจะทำอะไรสักอย่างกับเพื่อนของพวกเขาที่อาการหนักจนเกินเยียวยา โดยเฉพาะซอนโฮที่อยากให้เพื่อนคุยกับรุ่นพี่ที่แอบชอบได้สักที เขาจะได้ต้องไม่โดนลากมากินข้าวไกลๆอีก เพราะทุกวันนี้การวิ่งกลับไปเรียนให้ทันคาบบ่ายทุกวันก็ทำให้เขาแทบจะผอมอยู่แล้ว

“เชี่ยยยย หลิน ซอนโฮ มึงดู!”

อยู่ๆซามูเอลก็พูดขึ้นมาเสียงดัง จนคนถูกเรียกต้องรีบหันไปมองตาม แล้วก็พบว่ารุ่นพี่คนนั้นลุกจากโต๊ะไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แถมกำลังเดินตรงไปที่แดฮวีที่กำลังยืนหันหลังให้ ซึ่งเจ้าตัวเองก็กำลังตั้งใจมองพี่คนขายทำเครปอยู่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเอาเสียเลย

“น้อง”

“ครับ?”

เสียงเรียกดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้แดฮวีต้องหันไปมองก่อนจะรู้สึกตัวชาวาบขึ้นมาเหมือนโดนน้ำเย็นสาดใส่ชิบหายแล้วพี่ดงโฮมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

“แดฮวีอักษรฯป่ะ”

“ชะ ใช่ครับ”

“เฮ้ยๆ เป็นไร นี่พี่เอง”

ดงโฮยกมือขึ้นโบกไปมาตรงหน้ารุ่นน้องต่างคณะที่จ้องเขาตาค้าง หน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำหน้าตาไม่ต่างอะไรกับเห็นผีจนเขาต้องแอบคิดว่าน้องกำลังกลัวหน้าโหดๆของตัวเองอยู่หรือเปล่า

“คะ ครับ”

“เห็นตั้งแต่เราเดินเข้ามาแล้ว กำลังรอให้มาทักอยู่จนพี่จะขึ้นเรียนแล้วเนี่ย …ว่าแต่เดี๋ยวนี้โกหกหรอ เดี๋ยวจะโดน!”

แต่ละคำพูดที่ออกมาจากปากคนตรงหน้าไม่ได้เข้าหัวแดฮวีเลยแม้แต่นิดเดียว สายตายังคงจับจ้องที่ใบหน้าของคนที่ไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะเจอกันต่อหน้าแบบหนีไม่ทัน ทั้งคิ้วเข้มๆ ดวงตายิ้มๆคู่นั้น พอมาอยู่ตรงหน้าแบบนี้มันยิ่งทำให้รู้สึกพูดอะไรไม่ออกไปกันใหญ่

“เป็นไรป่ะเนี่ย เงียบเลย? พี่น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

เมื่อไม่ได้รับการตอบรับใดๆ ดงโฮจึงถามซ้ำอีกรอบ เริ่มรู้สึกเสียความมั่นใจนิดๆเมื่อคิดว่าเขาอาจจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกกลัวจนไม่ยอมพูดอะไรด้วยทั้งที่ปกติเวลาคุยกันผ่านข้อความแดฮวีคุยเก่งมากบางทีก็รัวแชทจนเขาเองเสียด้วยซ้ำที่เป็นฝ่ายพิมพ์ตอบไม่ทัน

“เปล่าครับ”

“หรือว่าไม่สบาย??”

ไม่พูดเปล่ายกมือขึ้นทาบหน้าผากด้วย หารู้ไม่ว่าความหวังดีของเขานั่นแหละที่ทำให้รุ่นน้องอาการยิ่งหนักกว่าเดิม

“เครปเย็นได้แล้วจ้า”

เสียงที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้แดฮวีได้สติขึ้นมา ใช่ เขากำลังซื้อเครปเย็น และตอนนี้เขาต้องไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ มือเล็กรีบยื่นเงินให้คนขายและคว้าถ้วยใส่เครปเย็นมาถือเอาไว้

“ไปก่อนนะครับ”

พูดด้วยรอยยิ้มแบบฝืนๆพลางก้มหัวให้ดงโฮนิดหนึ่งก่อนจะรีบเดินตรงกลับโต๊ะอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้รุ่นพี่ต่างคณะยืนงงอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นเพื่อนเดินตัวแข็งทื่อกลับมาควานลินจึงรีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงแต่แดฮวีกลับพูดขัดขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบาเหมือนคนไม่มีแรง

“ฮวีมึงโอเค…”

“กูจะตายแล้วพากูไปส่งที่หอด่วน”

 

 

ตริ๊ง!

เสียงแจ้งเตือนข้อความจากแอพไลน์ดังขึ้น ร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงฝืนตัวลุกขึ้นมาหยิบโทรศัพท์ขึ้นดู เวลาที่เห็นทำให้รู้ว่าเขาเผลอหลับไปนานพอสมควร หลังจากที่กลับมาถึงห้องและจัดการเอาเครปเย็นตัวปัญหาไปแช่ ก็หลับมายาวมาจนถึงตอนนี้ แดฮวีรีบกดเข้าไปดูข้อความและพบว่ามันมาจากคนที่ทำให้เขาช็อกไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา

realDH: เงียบเลย

LeeHwi: ผมหลับอ่ะพี่โทดที

realDH: เอาตรงๆไม่อยากคุยกันแล้วป่ะเนี่ย 555

LeeHwi: ไมคิดงั้นอ่า

realDH: บอกมาตามตรงเหอะตัวจริงพี่อาจจะดูน่ากลัว

อันนี้เข้าใจเว้ย

LeeHwi: ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ T T

คืออออมันแบบ

ทำตัวไม่ถูกอ่ะพี่ปกติคุยกันแค่ในนี้

 

realDH: อ่าว 55555555555555

LeeHwi: พี่ขำอะไรผมไม่ตลกนะ

 

realDH: ช่างเหอะขำตัวเอง

เออนี่ยังไม่ได้เคลียร์เรื่องวันนี้

ไมต้องโกหกครับบ

LeeHwi: นั่นแหละกลัวเจอกันแล้วผมจะพูดไรไม่ออก

อย่างวันนี้พี่ก็เห็นแล้วไงว่าอาการเป็นไง

55555

realDH: แดฮวี

LeeHwi: ครับ??

เรียกชื่องี้เดี๋ยวคิดค่าเรียกนะ 555

realDH: แหม่บอกเลยว่าไม่มีเงินจะให้นะครัช

มีแต่ตัวจะเอาป่ะ5555555555

เข้าเรื่องๆจะบอกว่าพี่รู้วิธีแก้นะ

ที่บอกว่าทำตัวไม่ถูกตอนเจอหน้าอ่ะ

LeeHwi: ยังไงอ่ะพี่

ไหนลองบอกมา

realDH: ก็มาเจอกันอีกดิ

ถ้าเจอบ่อยๆจนชินเดี๋ยวก็ทำตัวถูกเอง

LeeHwi: เห้ยยยยยยจะดีหรอ

ถ้าผมเงียบอ่ะ

เดี๋ยวพี่ก็รู้สึกไม่ดีอีก

realDH: ไม่เป็นไรเดี๋ยวชวนคุย 555

วันนี้เลยได้ป่ะ

LeeHwi: ห๊ะอย่ารีบดิพี่

realDH: รีบตรงไหนวะรอมาเป็นปีแล้ว

วันนี้แหละดีแล้ว

LeeHwi: ขอบล็อคสักสามสี่วันได้มั้ย 555555555

realDH: เดี๋ยวนี้เรื่องเยอะนะเรา จะมาไม่มาถ้าไม่จะไปตามถึงหอ

LeeHwi: เชี่ยยยยพี่รู้จักหอผมด้วยหรอพี่รู้ได้ไง

realDH: รู้แล้วกันให้ตอบอีกครั้งจะมาไม่มา

LeeHwi: โอเคไปไปครับไป

พี่อย่าเพิ่งบุกมาหอผมมมมมมมม

realDH: ก็แค่เนี้ยเดี๋ยวสักหกโมงบอกอีกทีว่าเจอที่ไหน

ไปกินข้าวกัน 😉

LeeHwi: เอาที่พี่สบายใจ

แดฮวีแทบจะวิ่งขึ้นไปกรีดร้องบนชั้นดาดฟ้าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่เคยคิดไว้ว่าแค่ได้แอบไปส่องพี่ดงโฮทุกวันก็พอใจ แต่วันนี้ไม่คิดว่าไปถึงขั้นเจอหน้ากันแถมยังถูกชวนไปกินข้าว เป็นเหตุการณ์เกินจะรับไหวสำหรับคนที่ไม่คาดหวังอะไรอย่างเขาจริงๆ

…แต่เรื่องที่ควรจะหนักใจจริงๆคือ แล้วตอนที่เจอกันเขาควรจะทำยังไงไม่ให้ช็อคเหมือนเมื่อตอนกลางวันเมื่อคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง และกดต่อสายไปหาคนที่น่าจะเป็นที่ปรึกษาให้ได้

“ซอนโฮ กูมีเรื่องจะปรึกษาด่วนๆ คือ… พี่ดงโฮเขาให้กูไปเจอเย็นนี้อ่ะ ทำไงดี ช่วยกูด้วยยยยยยยยย”

 

 ……….…..………..….……

 

“เชี่ยยยยยยย!!!”

“เป็นอะไรของมึง”

เสียงดังๆของดงโฮ ทำให้เพื่อนที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ข้างๆหันมามองแรงใส่ มินฮยอนถอนหายใจพลางปิดหนังสือ มั่นใจว่าเพื่อนเขามันต้องมีอะไรมาให้ช่วยอีกแน่ๆ

“น้องเขาตกลงไปกับกูว่ะ กูทำไงดีว่ะมึงงง”

“เอ้า มึงบ้าป่ะ ชวนเองแล้วมาถามกูว่าทำไงเนี่ยนะ”

“กูไม่คิดว่าน้องจะยอมนี่หว่า โอ๊ยยยย ตายแล้ว กูตื่นเต้นนนน”

ส่ายหน้าเบาๆให้กับความกากของเพื่อน น้องแดฮวีจะรู้ไหมว่าความคีพคูลของดงโฮเมื่อตอนกลางวันมันต้องรวบรวมความกล้ามากขนาดไหนกว่าจะยอมเข้าไปทัก ซึ่งจริงๆแล้วมันก็แพนิคไม่ต่างอะไรไปจากน้องเลย …ใช่ และตอนนี้เพื่อนเขาก็กำลังจะเป็นบ้าอีกครั้ง

มินฮยอนมองเพื่อนสนิทที่กำลังวิ่งพล่านรอบห้องพลางถามเขาว่าจะต้องทำอย่างไรอย่างเหนื่อยใจ               

กูขอเป็นกำลังใจให้อยู่ห่างๆแล้วกันนะเพื่อนรัก

 

____________________________________________________________________________________

 

ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ เป็นครั้งแรกที่แต่งฟิคคู่นี้หลังจากที่ลงเรือมา แล้วก็เป็นครั้งแรกที่แต่งฟิคไอดอลเพราะปกติเราเป็นสายอนิเมะค่ะ เพิ่งจะมาอาการหนักเพราะดูโปรดิวซ์ แล้วก็มาตกลงปลงใจลงเรือแบคฮวี ไม่รู้ว่าภาษาที่แต่งจะแปลกๆไปหรือเปล่านะคะ ^^;เป็นฟิคที่เกิดขึ้นชั่ววูบมากจริงๆค่ะ จากโมเมนท์เสี้ยววินาที144P เมื่อวันเสาร์ ดูเหมือนน้องจะคุยกับทุกคนยกเว้นพิจ๋าค่ะ เลยคิดขึ้นมาได้ว่าน้องอาจจะเขิน //โดนตบข้อหามโนเกินความจริง แล้วก็คิดไปไกลจนเลยเถิดมาเป็นฟิคเรื่องนี้ค่ะ

โลเกชั่นของเรื่องเอามาจากมหา’ลัยที่ไรท์จบมาค่ะ ด้วยชื่อสถานที่แล้วถ้าเรียนที่นี่จริงอ่านประโยคแรกก็น่าจะรู้ทันทีค่ะว่าม.ไหน 5555555 เนื่องจากจบมาสักพักแล้ว หากมีดีเทลตรงไหนผิดไปก็ขอโทษด้วยนะคะขอบคุณอีกครั้งนะคะที่กดเข้ามาอ่าน ยังไงก็มาช่วยกันยื้อเรือแบคฮวีกันต่อไปนะคะ ;w;

[[Ps. If you want to follow me on twitter -> @blznoon]]

EDITED :: 23FEB.2018

[Short fic : Kuroko No Basuke] Once in a summer :: NijiAka — May 8, 2014

[Short fic : Kuroko No Basuke] Once in a summer :: NijiAka

 

[Short fic : Kuroko No Basuke] Once in a summer :: NijiAka

 

…ผมยังจำวันนั้นได้ดี

 

คืนที่เต็มไปด้วยแสงไฟหลากสีจากงานเทศกาล คืนที่สีสันของดอกไม้ไฟแต่งแต้มอยู่ท้องฟ้าสีดำของยามราตรี และคืนที่ดอกไม้ไฟนั้นถูกจุดขึ้นและดับลงไปพร้อมๆกับความทรงจำอันล้ำค่าที่สุดของผม ที่จบลงอย่างรวดเร็วในคืนฤดูร้อน แต่น่าแปลกที่ผมกลับจำมันได้ทุกวินาที

 

คืนฤดูร้อนของเด็กชายชั้นประถมปีที่สามอย่างผม ไม่มีอะไรน่าสนุกเท่ากับงานเทศกาลอีกแล้ว มีขนมอร่อยๆให้กินมากมาย มีเกมสนุกๆให้เล่น การได้เห็นผู้คนสวมชุดยูกาตะเดินไปทั่วงาน และที่สำคัญ ดอกไม้ไฟที่จะถูกจุดขึ้นเมื่องานเทศกาลสิ้นสุด

 

ตอนนั้นผมกับไปงานเทศกาลกับเพื่อนๆที่อยู่แถวบ้าน แม้จะไม่ได้ใส่ชุดยูกาตะ แต่พวกเราก็ตระเวนไปทั่วงานเพื่อแข่งกันว่าใครจะเล่นเกมของแต่ละซุ้มให้ชนะได้มากที่สุด สุดท้ายเราก็ล้มการแข่งแบบเด็กๆนั้นลง ก่อนจะไปหาซื้อขนมในงานมานั่งกินกันเพื่อรอดูดอกไม้ไฟ

 

แต่ในขณะที่ผมกำลังเดินฝ่าฝูงชนในงาน เพื่อนำขนมสายไหมสีชมพูรูปร่างคล้ายก้อนเมฆกลับไปหาพวกเพื่อนผมก็เห็นบางสิ่งที่เด่นชัดกลางหมู่คน …ชายเสื้อของชุดยูกาตะสีแดงเข้มที่สั่นไหวอยู่ตรงนั้น เมื่อเพ่งมองดีๆ กลับเป็นแผ่นหลังเล็กๆของเด็กผู้ชายผมสีแดง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเด็กหลงทาง การกระทำไวกว่าความคิดเมื่อผมก้าวตรงไปหาเด็กคนนั้น

 

“หลงทางเหรอ”

 

ผมเอ่ยขึ้นและจับไหล่ของเด็กชายเอาไว้ ส่วนสูงที่ต่างกันทำให้รู้ว่าเด็กคนนี้อายุน้อยกว่าผม ร่างเล็กๆนั้นหันหน้ามาหาผม แก้มขาวดูนุ่มนิ่มที่เป็นสีแดงเรื่อ ตากลมใสสีเดียวกับเว้นผมคลอไปด้วยน้ำตา มือเล็กๆพยายามขยี้ตาเหมือนจะปลอบตัวเองให้หายกลัว

 

…น่ารัก

 

นั่นเป็นความคิดแรกของเด็กชายชั้นประถมปีที่สามอย่างผมคิด เด็กคนนั้นพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงตอบรับ ผมจับมือเล็กๆนั้นโดยไม่ทันได้คิด แล้วจูงให้เดินตามหลังออกไปจากกลางทางเดินที่มีผู้คนเบียดเสียด ก่อนจะมาหยุดยืนหน้าร้านแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลที่คนเริ่มน้อย

 

“เดี๋ยวช่วยตามหาพ่อกับแม่นายแล้วกัน ตรงนี้คนไม่ค่อยเยอะ พักเหนื่อยก่อนก็ได้นะ”

 

ผมเอ่ยกับเด็กชายตัวเล็ก ในขณะที่ผมเริ่มลงมือกินสายไหมในมือก่อนที่มันจะละลาย ไม่นานก็พบกับตากลมๆที่กำลังเหลือบมองมาที่ผมด้วยท่าทางกลัวๆกล้าๆ

 

“แยกกับพ่อแม่ที่ไหน จำได้หรือเปล่า”

“…ที่ต้นไม้ต้นใหญ่ๆ”

 

เสียงเล็กๆตอบกลับมาเบาๆ ผมนึกในใจ น่าจะเป็นต้นไม้ใหญ่ที่หน้าทางเข้าศาลเจ้าซึ่งเป็นทางเข้างาน แต่กว่าจะฝ่าไปถึงตรงนั้นอาจจะพลัดหลงกันอีกรอบ ผมคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะพูดออกมา

 

“เดี๋ยวค่อยไปแล้วกัน ดอกไม้ไฟจะเริ่มแล้ว ฉันมีที่ดูดอกไม้ไฟดีๆด้วย ไปกันเถอะ!”

 

ผมลืมเพื่อนๆที่มาด้วยกันไปชั่วขณะ เมื่อนึกถึงความตื่นเต้นที่จะไปดูที่ดอกไฟที่เนินเขาเตี้ยๆที่อยู่ถัดไปจากตรงนี้ ที่ๆผมยังไม่เคยพาใครไปแม้แต่เพื่อนผม เป็นสถานที่ๆผมเก็บไว้เป็นฐานลับของผมเพียงคนเดียว

 

ผมเดินนำไป ใจจดจ่ออยู่แต่กับดอกไม้ไฟและฐานลับของผม ไม่นานก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงเบาๆที่ชายเสื้อ

 

“รอด้วย…”

 

เด็กน้อยดึงชายเสื้อของผมเอาไว้แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกลัวๆกล้าๆเช่นเดียวกับอารมณืที่อยู่บนสีหน้า ผมยืนมื่อไปตรงหน้า แล้วเอ่ยขึ้น

 

“จูงมือไหมล่ะ จะได้ตามทัน”

“อื้ม”

 

เด็กชายพยักหน้าเบาๆแล้วยิ้ม …สาบานได้ว่าเด็กประถมอย่างผมไม่ได้คิดอะไร แต่ ณ วินาทีนั้น ผมกลับรู้ทันทีว่าผมรู้สึกถูกชะตากับเด็กน้อยตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก เมื่อมือเล็กๆเอื้อมมาจับมือผม

 

ใช้เวลาไม่นานนัก พวกเราก็เดินกันมาจนถึงเนินเตี้ยๆ มีหญ้าสั้นๆอ่อนนุ่มขึ้นอยู่ทั่วบริเวณ นั่งลงกับพื้นหญ้านั้น ก่อนจะเริ่มพูดคุยเหมือนสนิทกันมานาน

 

“ที่นี่เป็นฐานลับของฉัน เอาไว้เก็บกันดั้มที่ฉันสร้างเอง ถ้าศัตรจากนอกโลกบุกเมื่อไหร่ ฉันจะขับกันดั้มไปถล่มมันเอง”

“เท่มากเลยครับ”

“ใช่ม้า เท่สุดยอด!! นิจิมุระ ชูโซคนนี้แหละจะปกป้องมนุษย์โลกเอง!”

“คุณนิจิมุระ…”

 

ผมพูดไปตามประสาเด็กผู้ชายผู้คลั่งไคล้หุ่นยนต์ แต่ตากลมโตคู่นั้นของเด็กน้อยมองที่ผมด้วยความชื่นชม ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่ามันน่ารักจนต้องยกมือขึ้นไปหยิกแก้มกลมๆนั่น

 

“จะ เจ็บนะครับ คุณนิจิมุระ”

 

เด็กน้อยพูดขึ้นเบาๆพลางทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ ไม่รู้ทำไมใบหน้าแบบนั้นมันทำให้ผมรู้สึกอยากจะปกป้องเด็กน้อยคนนี้มากเสียเหลือเกิน

 

คุยกันไม่นาน พวกเราก็เอนหลังนอนหงายลงบนพื้นหญ้า มองท้องฟ้าสีดำที่เงียบสงบ หมู่ดาวมากมายประดับเต็มท้องฟ้าเหมือนหยดสีบนภาพวาด สวยมากจริงๆ

 

“สวยจังครับ”

“แน่นอน ฐานลับของฉันดูดาวได้สวยที่สุด แน่นอนว่าดอกไม้ไฟก็ด้วย”

“ผมอยากมาที่นี่ทุกวันจัง”

 

เด็กชายตัวเล็กพูด ผมแอบเหลือบมอง ใบหน้าเล็กๆเหม่อมองไปบนท้องฟ้า ตาสีแดงสวยสะท้อนให้เห็นดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน จังหวะเดียวกับที่ความคิดสั่งให้ผมเอ่ยถามออกไปก่อนที่จะไม่มีโอกาส

 

“นายชื่ออะไร”

“อาคาชิ เซย์จูโร่ครับ”

 

เด็กน้อยพูดขึ้นพร้อมดอกไม้ไฟที่ถูกจุดขึ้นบนท้องฟ้า ผมเห็นเพียงปากเล็กๆที่เอ่ยชื่อของตัวเองออกมา กับเสียงของดอกไม้ไฟที่ดังกลบชื่อนั้น แม้ว่าจะไม่ได้ยิน แต่ภาพใบหน้าที่ผมคิดว่าน่ารักที่สุดที่ชีวิตนี้เคยเห็น ถูกอาบไล้ไปด้วยแสงจากดอกไม้ไฟบนท้องฟ้า ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของผม จวบจนถึงทุกวันนี้ อาจจะน่าอายสักนิดถ้าผมจะพูดว่า เหตุการณ์นี้ถือเป็นรักครั้งแรกของผมก็ว่าได้

 

แน่นอนว่าหลังจากนั้น ผมกลับมาส่งเด็กน้อยโดยไม่พูดอะไรกันสักคำ ไม่รู้อะไรสั่งให้คำพูดไม่ไปตามที่สมองสั่ง ผมของแผ่นหลังเล็กๆที่เดินจูงมือพ่อแม่เดินหายลับไปพร้อมกับความมืดของค่ำคืนฤดูร้อนที่มืดมิดไปถนัดตาเมื่อดอกไม้ไฟทั้งหมดจางหายไป …ราวกับจะบอกว่าผมคงไม่มีวันได้เจอเขาอีก

 

 

ผมเงยหน้ามองฟ้า เป็นอีกปีที่ความทรงจำของเมื่อหลายปีก่อนหลั่งไหลมาพร้อมกับดอกไม้ไฟที่แต่งแต้มบนท้องฟ้า และจบลงเมื่อแสงของมันจายหายไปพร้อมๆกับการรอคอยสิ่งที่ไม่มีวันหวนคืนมา ผมยังคงจ้องมองท้องฟ้าดำมืดปราศจากทั้งดอกไม้ไฟและดาวต่อไปอีก

สิบปีแล้วที่ผมเฝ้ารออยู่ที่เดิม ผมย้อนกลับมาที่ฐานลับของผมในวัยเด็กทุกๆครั้งที่มีงานเทศกาลฤดูร้อน แม้จะย้ายบ้านไปไกลมาก แต่ผมก็กลับมาทุกปี หวังว่าจะเจอเด็กชายตัวเล็กคนนั้น ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้หน้าตาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

ผมยิ้มออกมากับความบ้าบอของตัวเอง ก่อนจะเตรียมหันหลังกลับบ้านเหมือนทุกปี แต่เสียงฝีเท้าที่เหยียบพื้นหญ้าก็ดังขึ้นมาจากอีกทางจนทำให้ต้องเผลอเหลียวมอง ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่อีกฝั่งหนึ่งของเนินเขาเตี้ยๆนี้มีผู้ชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้ผมอยู่ ความมืดทำให้มองอะไรไม่ถนัด แต่ถึงอย่างนั้นแผ่นหลังนั้นก็ทำให้นึกถึงแผ่นหลังของเด็กชายตัวเล็กๆในความทรงจำ

…อาจจะเป็นคนแถวนี้มาดูดอกไม้ไฟก็ได้
แต่เมื่อผมเตรียมจะทำตามความคิดที่ก่อตัวขึ้น คนๆนั้นก็หันมา พร้อมพูดประโยคที่ผมไม่คาดฝัน และไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเจอเหตุการณ์อย่างนี้ รู้สึกเหมือนจู่ๆก็มองเห็นทั้งใบหน้านั้น ดวงตาสีแดงและเส้นผมสีเดียวกันขึ้นมาได้อย่างชัดเจน

“นั่นคุณนิจิมุระหรือเปล่าครับ?”

 

_______________________________

 

ฟิคคุโรบาสเรื่องแรกที่ได้เผยแพร่ค่ะ 5555 หากผิดพลาดตรงไหนขออภัยด้วยนะคะ

เป็นฟิคที่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ เนื่องจากเห็นสเตตัสเพื่อนในเฟซบุ้ค

จริงๆแอบชอบคู่นี้อยู่ คือมันมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งมากค่ะ (ปกติเราเป็นผู้สนับสนุนไฟดำ 555)

ยังไงก็ขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านนะคะ อ้อ ขอโทษที่ต้องตัดจบด้วยค่ะ อยากให้มันได้เป็นฟีลที่อ่านแล้วคิดกันเองว่าจะให้สองคนนี้ลงเอยแบบไหน

ไปจิ้นต่อกันเองนะจ๊ะ ;3